จากผนังถ้ำถึงท้องทะเลที่เมืองสตูล
เรื่อง/ภาพโดย นิพนธ์ เรียบเรียง
342 คือตัวเลขจำนวนขั้นบันได ที่เราต้องก้าวเดินขึ้นไปยังถ้ำภูผาเพชร แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงติดอันดับโลกแห่งเมืองสตูล ด้วยพื้นที่ขนาดประมาณ 50 ไร่ ภายในถ้ำนับว่าใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทยและติดอันดับที่สี่ของโลก !! ปากทางเข้าไปในถ้ำนั้นมีขนาดพอดีตัวจนแทบไม่อยากเชื่อว่าภายในจะกว้างใหญ่ได้ถึงขนาดนั้น
ลุงมุกไกด์ท้องถิ่นผู้รุ่มรวยอารมณ์ขันยืนยิ้มฟันขาวรออยู่หน้าถ้ำเล่าว่า มาอาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่สมัยช่วงที่มีการปราบปรามคอมมิวนิสต์จนรู้จักพื้นที่ทั้งห้าสิบไร่ในถ้ำเป็นอย่างดี ลีลาการบรรยายของลุงนั้นสนุกสนานจนเราแซวกันว่าชื่อจริงของลุงชื่อ "มุกเยอะ" หรือเปล่าเนี่ย แม้จะตลกเฮฮาตามประสาคนอารมณ์ดีแต่แกก็จะสอดแทรกเรื่องการดูแลธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตลอดเวลา...
ชื่อเดิมของถ้ำภูผาเพชร คือ “ถ้ำลอด ถ้ำยาว หรือถ้ำเพชร” เนื่องจากถ้ำมีความยาวและคดเคี้ยวแบ่งเป็นหลายตอนภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อย เมื่อกระทบกับแสงไฟผนังถ้ำก็เกิดประกายแวววาวเหมือนเพชร จึงเป็นที่มาของชื่อถ้ำเพชร ภายหลังจึงเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการว่า “ถ้ำภูผาเพชร” มีหลักฐานว่าเมื่อ 3,000 ปีที่แล้ว
ถ้ำแห่งนี้ถือเป็นแหล่งพักพิงของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ มีการค้นพบหลักฐานกระดูกมนุษย์โบราณส่วนกะโหลกศีรษะ เศษภาชนะดินเผาเคลือบลายเชือกทาบและกระดูกสัตว์ เปลือกหอยบรรจุในภาชนะดินเผาสันนิษฐานว่า มนุษย์สมัยก่อนน่าจะใช้ประกอบพิธีทางศาสนาก่อนที่ถ้ำแห่งนี้จะถูกกาลเวลากลืนหายไป
กระทั่งปี พ.ศ.2534 ประวัติศาสตร์ของถ้ำภูผาเพชรได้ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้งโดยการค้นพบของพระธุดงค์นามว่า “หลวงตาแผลง” และต่อมาสำนักงานโบราณคดีพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ 10 ร่วมกับราษฎรในพื้นที่จึงได้พัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว
ได้เวลาเข้าถ้ำหลังพักหอบจากการขึ้นบันไดสามร้อยกว่าขั้นมาแล้ว สิ่งแรกที่เห็นเมื่อเข้าไปภายในก็คือโถงขนาดใหญ่พอที่จะเล่นฟุตบอลได้อย่างสบายๆ บางคนที่ร่วมทางถึงกับอุทานออกมาว่า นี่มันอิมแพคอารีน่าชัดๆ เล่นเอานักท่องเที่ยวที่ได้ยินอมยิ้มกันเป็นแถว
ความสมบูรณ์ทางธรรมชาติพวกหินงอกหินย้อยนั้นนับว่ายอดเยี่ยมงดงามมาก และแน่นอนว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ตามที่ไอน์สไตน์เคยบอกไว้ การเที่ยวชมหินยอกหินย้อยจึงต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ด้านศิลปะกันพอสมควรจึงจะเห็นรูปร่างต่างๆ ตามที่ไกด์แนะนำ
เช่น หินรูปพญานาคซึ่งต้องส่องไฟไปแล้ว เราจะเห็นที่เงามีลักษณะคล้ายกับหัวพญานาค ถัดมาทางขวามือ คือ พระพุทธรูป ฝั่งซ้าย คือ พระฤาษี โดมศิลาเพชร และเจ้าแม่กวนอิม รวมถึงอ่างน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่มีน้ำหยดลงมาตลอดทั้งปีจากเพดานถ้ำ เป็นต้น
ในถ้ำนี้มีสะพานไม้ให้เดินเที่ยวชมได้อย่างสะดวกแต่ลุงมุกขอร้องอย่างเดียวว่าช่วยดูแต่ตามืออย่าต้องเพราะของจะเสียนะขรับ (แกพูดด้วยสำเนียงท้องถิ่นได้อารมณ์มาก)
กลับเข้าเมืองมาหาอาหารรองท้องก่อนออกลุยท้องทะเล เมื่อมาถึงสตูลอาหารที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงก็คือแกงไก่กอแระ ที่หอมหวลด้วยเครื่องเทศแบบมุสลิมเรียกเหงื่อซึมๆ พอแก้อาการไข้หวัดจากสภาพอากาศร้อนชื้นของภูมิภาคแถบนี้ได้เป็นอย่างดี
แน่นอนว่ามันเป็นภูมิปัญญาของคนโบราณที่ถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นมายาวนาน การกินอาหารท้องถิ่นนั้นนอกจากช่วยให้อิ่มท้องแล้ว ยังหมายถึงการเข้าถึงวัฒนธรรมการเป็นอยู่ของผู้คนในที่นั้นๆ ทำให้ความหมายในการเดินทางท่องเที่ยวเรียนรู้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นอีกด้วย
ไม่ไกลกันนักจากร้านข้าวแกงอาคารทรงปั้นหยาแบบไทยมุสลิมสีขาวโดดเด่น ที่ยืนหยัดผ่านกาลเวลามานานกว่าร้อยปี จากจุดประสงค์เดิมที่จัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับแรมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อคราวเสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ แต่มิได้ทรงประทับแรมจึงใช้เป็นบ้านพักรับรองแขกเมือง โดยเรียกชื่อว่า "คฤหาสน์กูเด็น" ตามชื่อเดิมของเจ้าเมืองสตูลสมัยนั้น คือ พระยาภูมินารถภักดี (ตวนกูบาฮารุตดิน บินตำมะหง) ชื่อเดิมคือ กูเด็น บินกูแมะ
และต่อมากรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน และได้ดำเนินการบูรณะปรับปรุงเพื่อจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสตูล
หลังเดินย่อยอาหารพร้อมชมเรื่องราวความเป็นมาที่จัดแสดงอยู่ภายในสักพักใหญ่ ก็ได้เวลาลงน้ำทะเลให้สมกับมาเมืองใต้กันเสียทีที่หมู่บ้านตันหยงโปใน จ.สตูล
ความงดงามและความมหัศจรรย์ของธรรมชาติกับแหล่งท่องเที่ยวที่ถือเป็น Unseen in Thailand แห่งใหม่ ที่ชาวบ้านในชุมชนตันหยงโปเรียกกันว่า "ทะเลแหวกเมืองสตูล" หรือที่ได้รับการขนามนามว่า “ หาดทรายใต้สมุทร” ที่เปรียบดั่งได้เดินบนเส้นทางหลังมังกรกลางทะเล มีหาดทรายยาวกว่า 3 กิโลเมตร ให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ท่ามกลางท้องทะเลที่มีชายหาดเปลือกหอยอายุนับล้านปี ที่ก่อตัวเป็นทางเดินนั่นเอง (จะสามารถเห็นหาดเปลือกหอยได้เมื่อยามน้ำลงทำให้สามารถเดินข้ามจากอีกเกาะไปยังอีกเกาะได้)
หากเดินทางมาจากตัวเมือง จ.สตูล ไปยังหมู่บ้านชุมขนตันหยงโป สู่ท่าเทียบเรือบากันเคยเพื่อนั่งเรือหางยาวแบบมีหลังคา ที่ชาวบ้านเค้าทำขึ้นมาเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว โดยระหว่างทางในเวลาราวหนึ่งชั่วโมงสามารถชมทัศนียภาพของอ่าวสตูลได้ หากใครที่ชอบถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ หรือแม้กระทั่งวีถีชีวิตชาวประมงของชาวบ้าน ก็น่าจะต้องเตรียมความจุเมมโมรี่การ์ดของกล้องไว้ให้มากสักหน่อย
สตูลนับเป็นเมืองสงบเงียบที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรและวิถีชีวิตที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้ที่นี่มีโครงการในพระราชดำริมากมายหลายแห่งเพื่อช่วยรักษาความงดงามของธรรมชาติและผู้คนให้ยั่งยืนต่อไป
ขอขอบคุณกรมประชาสัมพันธ์ สำหรับโครงการสื่อมวลชนสัญจรเยี่ยมชมวิถีชีวิตจังหวัดชายแดนภาคใต้
............................
ข้อมูลเพิ่มเติม
คฤหาสน์กูเด็น เปิดทำการทุกวันพุธ-อาทิตย์ เวลา 9.00-16.00น. ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์
ถ้ำภูผาเพชรเดินทางจากตัวเมืองสตูล ไปตามถนนสายสตูล-หาดใหญ่ ถึงสามแยกนิคมควนกาหลง เลี้ยวซ้ายผ่านที่ว่าการอำเภอควนกาหลง ถึงสามแยกผัง 1 ต.อุใดเจริญ เลี้ยวขวาเข้าสู่อำเภอมะนัง ถึงสี่แยกบ้านผังปาล์ม 1 เลี้ยวซ้ายตรงไป 1 กม. ถึงสี่แยกบ้านไทรทองแล้วเลี้ยวขวา เข้าไปยังถ้ำภูผาเพชร พอถึงแยกบ้านปากคอกตรงไปถึงโรงเรียนบ้านป่าพน จากนั้น เลี้ยวซ้ายตรงไปอีก 8 กม.ก็จะถึงถ้ำภูผาเพชร
ถ้ำภูผาเพชรเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00-15.00 น. โดยเสียค่าเข้าชมคนละ 30 บาท