สีสันในวันผี (ตาโขน ) อาละวาด
เรื่อง/ภาพ โดย นิพนธ์ เรียบเรียง
เสียงร้องวี๊ดว้ายของหญิงสาวเมื่อถูกเจ้าผีตาโขนจอมทะลึ่งไล่หยอกล้อด้วยอาวุธคู่กายที่มีรูปร่างคล้ายอวัยวะเพศชายหรือที่เรียกกันว่า “ปลัดขิก “ ทำให้หลายคนที่อยู่ในบริเวณนั้นต้องอมยิ้มหรือบางคนก็ถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้หากมองโดยแง่มุมมาตรฐานทั่วไปต้องถือเป็นเรื่องหยาบคาย แต่เมื่อมันรวมอยู่ในงานบุญที่สืบเนื่องมายาวนาน จนกลายเป็นประเพณีที่เก่าแก่ของชาวอำเภอด่านซ้ายในจังหวัดเลยอย่างงานผีตาโขน มันจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าสิ่งเหล่านี้อาจแอบแฝงภูมิปัญญาของบรรพบรุษในเรื่องเพศศึกษาเอาไว้สั่งสอนลูกหลานนั่นเอง
กองทัพย่อมเดินด้วยท้องคณะสื่อมวลชนที่เดินทางร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยโดยทีมกองการตลาดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีจุดหมายเพื่อร่วมงานบุญใหญ่ที่จังหวัดเลย
จอดแวะเติมพลังมื้อกลางวันกันที่ร้านขนมจีนหล่มเก่าในพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ สีสวยๆ ของขนมจีนที่ทำกันสดๆ โดยใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ เช่น ดอกอัญชัน ใบเตยราด ด้วยน้ำยาหลากชนิดที่มีให้เติมแบบไม่อั้น กินแนมกับหมูย่างและผักพื้นบ้านอีกหนึ่งกระจาด เล่นเอาอิ่มจนแทบหลับคาโต๊ะขนมจีน
เดินทางต่อสักพักใหญ่ก็ได้มีโอกาสลงจากรถมายืดเส้นยืดสายชมวิวของอำเภอด่านซ้าย ที่บริเวณก่อนลงเขาเข้าตัวอำเภอ รูปปั้นผีตาโขนขนาดใหญ่ตั้งโดดเด่นให้นักท่องเที่ยวมายืนโพสต์ท่าถ่ายภาพกันเป็นที่ระลึก เส้นทางนี้มีทั้งนักปั่นเสือภูเขาและนักบิดมอเตอร์ไซค์ นิยมมาขับขี่ยานพาหนะสุดโปรดของตนเอง เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์กันมากมาย ช่วยเพิ่มสีสันในการเดินทางได้ดีทีเดียว
ประเพณีแห่ผีตาโขนนั้นจัดเป็นส่วนหนึ่งในงานบุญประเพณีใหญ่ที่เรียกกันว่า "งานบุญหลวง" หรือ "บุญผะเหวด" ซึ่งจะตรงกับช่วงเดือน 7 และมีขึ้นที่อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เป็นการละเล่นที่ถือเป็นประเพณีที่เกี่ยวโยงกับงานบุญพระเวสหรือเทศน์มหาชาติประจำปีของ “พระธาตุศรีสองรัก” ปูชนียสถานสำคัญของชาวด่านซ้าย
ในวันที่เราไปถึงบริเวณรอบองค์พระธาตุศรีสองรักเต็มไปด้วยปราสาทผึ้ง หรือที่เรียกตามสำเนียงท้องถิ่นว่า "ต้นดอกเผิ้ง" โดยชาวบ้านนำเอาไม้ไผ่มาจักสานและทำเป็นรูปปราสาท แล้วเอากาบกล้วยมาแทงหยวกเป็นลวดลายอย่างสวยงาม โดยเอาขี้ผึ้งไปต้มให้เปื่อย แล้วจุ่มลงในน้ำเย็นเพื่อทำเป็นรูปดอกไม้ ซึ่งเรียกว่า "ดอกเผิ้ง"
เรามาถึงบริเวณวัดโพนชัยซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน แม้จะเป็นเพียงวันซ้อมก่อนจะมีขบวนใหญ่ในวันรุ่งขึ้น บรรยากาศก็สนุกสนานด้วยบรรดาผีตาโขนน้อยใหญ่ที่วาดลวดลายกันเต็มที่ แถมยังมีผีในแบบร่วมสมัยเดินดีดกีต้าร์และอคูเลเล่อีกด้วย
ด้านในวัดโพนชัยแห่งนี้จะมีพิพิธภัณฑ์ผีตาโขน แสดงเรื่องราวความเป็นมา รวมทั้งกิจกรรมวาดภาพหน้ากากผีตาโขน ที่ได้กลายเป็นของที่ระลึกยอดฮิตก็ว่าได้ ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะนิยมซื้อกลับไปเป็นของฝากจากเทศกาล The Mask Festival ตามที่พวกเขาเรียกขานกันในภาษาอังกฤษ
ผมเองจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนที่ได้มีโอกาสมาร่วมงานผีตาโขน จะเห็นหน้ากากที่ทำจากหวดนึ่งข้าวเหนียวที่เป็นไม้ไผ่สานผ่านการใช้งานมาแล้ว จึงได้กลายมาเป็นหน้ากากในงานประเพณี และนำไปทิ้งแม่น้ำในวันสิ้นสุดงานตามความเชื่อดั้งเดิม แต่ในวันนี้ด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตที่ทันสมัยขึ้น รวมทั้งความนิยมจากนักท่องเที่ยวหน้ากากจึงเป็นของสะสมที่น่าสนใจและมีราคาพอสมควรทีเดียว
ต้นกำเนิดผีตาโขนนั้นกล่าวกันว่า การแห่ผีตาโขนเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่พระเวสสันดรและนางมัทรีจะเดินทางออกจากป่ากลับสู่เมือง บรรดาผีป่าหลายตนและสัตว์นานาชนิดอาลัยรัก จึงพาแห่แหนแฝงตัวแฝงตนมากับชาวบ้านเพื่อมาส่งทั้งสองพระองค์กลับเมือง และเรียกกันว่า "ผีตามคน" หรือ "ผีตาขน" จนกลายมาเป็น "ผีตาโขน" อย่างในปัจจุบัน ผีตาโขนในขบวนแห่จะแยกเป็น 2 ชนิด คือ ผีตาโขนใหญ่จะเป็นหุ่นรูปผีทำจากไม้ไผ่สาน มีขนาดใหญ่กว่าคนธรรมดาประมาณสองเท่า มีหน้าตาเหมือนคนปกติ
ส่วนผีตาโขนเล็ก ก็จะมีหน้ากากที่ทำจากหวดนึ่งข้าวเหนียวทาสีสันสวยงามติดจมูกงุ้มยาว ที่ทำมาจากทางมะพร้าว นับเป็นการละเล่นของเด็ก ไม่ว่าเด็กเล็ก เด็กวัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ ทั้งผู้หญิงชาย มีสิทธิ์ทำและเข้าร่วมสนุกได้ทุกคน แต่ผู้หญิงไม่ค่อยเข้าร่วม เพราะเป็นการเล่นค่อนข้างผาดโผนและซุกซน ผีทุกตัวจะมีอาวุธประจำกายเป็นปลัดขิกตามที่เกริ่นมาแล้ว และรอบเอวจะห้อยกระดึงที่ใช้ผูกคอวัวควายหรือกระดิ่ง เวลาเดินจะเกิดเสียงดังตลอดเวลา
ความสนุกสนานกับภูมิปัญญาแบบท้องถิ่น ช่วยให้เกิดความคุ้ยเคยรักใคร่กันในหมู่ชาวบ้านในท้องถิ่นนั้นๆ และรวมไปถึงนักท่องเที่ยวผู้มาเยือนอีกด้วย แน่นอนว่าความรู้สึกแบบนี้อาจหาได้ยากในเมืองใหญ่ ที่ผีร้ายอาจแฝงอยู่ในร่างที่งดงามดูดีกว่าผีตาโขนมากมายหลายเท่านัก....
ขอขอบคุณกองการตลาดภาคตะวันออกเฉียงเหนือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย