ไทย-กัมพูชา จับมือเติบโตไปด้วยกัน
ตั้งเป้าการค้า 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2563
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์) มีกำหนดให้เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย (นายลง วิซาโล) เข้าเยี่ยมคารวะ ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2561 เพื่อหารือแนวทางการส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับกัมพูชา ให้บรรลุเป้าหมายในการเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันเป็น 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2563 ตามที่ทั้งสองประเทศได้ตั้งเป้าไว้
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กัมพูชาเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีความใกล้ชิดกับไทย มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังเป็นประเทศที่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี (GSP+) จากสหรัฐฯ และการยกเว้นภาษีจากสหภาพยุโรปในทุกสินค้า ยกเว้นอาวุธตามเกณฑ์ (Everything But Arm: EBA) และมีอัตราการขยายตัวของประชากรวัยแรงงาน สูงเป็นอันดับ 2 ในประเทศกลุ่ม CLMV รองจาก สปป.ลาว จึงเป็นประเทศที่เหมาะแก่การเข้าไปลงทุนเป็นอย่างมาก
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ไทยจะใช้โอกาสนี้ หารือถึงแนวทางส่งเสริมการค้าการลงทุน โดยเฉพาะการผลักดันการค้าชายแดนตามยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองหน้าด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของทั้งสองฝ่ายได้ลงนามร่วมกัน ในช่วงการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตลอดจนร่วมมือกันลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน อาทิ
- การผลักดันให้กัมพูชาเร่งดำเนินการเพื่อให้สามารถใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลงเพื่อยกเว้นการเก็บภาษีซ้อนโดยเร็วที่สุด
- การเร่งรัดให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการผ่านแดนสินค้าระหว่างไทย-กัมพูชา
นอกจากนี้ ไทยยังเตรียมหารือถึงแนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในกัมพูชา ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเข้าไปลงทุนของไทยที่มักประสบปัญหาการขาดแคลนผู้บริหารชาวกัมพูชา เพื่อให้ไทยและทุกประเทศใน CLMV สามารถเติบโตไปพร้อมกันได้ ตามนโยบาย 'เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง'
.......................
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2561 นายลง วิซาโล เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ ในโอกาสเอกอัครราชทูตฯ เข้ารับตำแหน่ง
ซึ่งได้หารือถึงแนวทางการส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างสองประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันเป็น 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2563 ตามที่ทั้งสองประเทศได้ตั้งเป้าไว้ โดยเน้นย้ำถึงการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้ผลประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืน
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ได้หารือกับเอกอัครราชทูตกัมพูชาถึงแนวทางการส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างกัน เพื่อผลักดันมูลค่าการค้าของทั้งสองประเทศให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าการส่งเสริมการลงทุนในกัมพูชาจะเป็นอีกหนึ่งหนทางที่จะช่วยลดช่องว่างทางการค้าและเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันได้
โดยไทยได้เร่งรัดให้กัมพูชาดำเนินการ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลง เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชา โดยเร็วที่สุด ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนการเข้าไปลงทุนของไทยในกัมพูชา
นอกจากนี้ ไทยยังได้ขอให้กัมพูชาพิจารณาผ่อนปรนให้ผู้ประกอบการสามารถนำเข้าสินค้าน้ำมันสำเร็จรูปทางบกได้ดังที่เคยอนุญาตในอดีต ซึ่งนอกจากจะช่วยลดต้นทุนในการขนส่งได้แล้ว ยังส่งผลดีต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของกัมพูชาในปัจจุบัน ที่ต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ ไทยได้ขอให้การเลือกตั้งทั่วไปของกัมพูชาที่จะมีขึ้นในวันที่ 29 กรกฎาคมนี้ ประสบความสำเร็จด้วยดี ซึ่งไทยพร้อมทำงานร่วมกับรัฐบาลกัมพูชาในการผลักดันการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายสามารถเติบโตไปพร้อมกันได้อย่างยั่งยืน
....................
ทั้งนี้ กัมพูชาเป็นคู่ค้าอันดับที่ 21 ของไทยในโลก ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2556-2560) การค้าระหว่างไทยกับกัมพูชามีมูลค่าเฉลี่ยประมาณปีละ 5,419.7 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยในปี 2560 การค้ารวมไทย-กัมพูชา มีมูลค่า 6,164.9 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 9.9 โดย
ไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้า 4,375.1 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับการค้าชายแดนไทยกัมพูชา มีมูลค่ารวม 125,364.14 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 59.98 ของมูลค่าการค้าทั้งหมด
สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปกัมพูชา ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องดื่ม รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ น้ำตาลทราย และเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบ
ในขณะที่สินค้านำเข้าหลัก ได้แก่ ผัก ผลไม้และของปรุงแต่งจากผัก ผลไม้ สินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ ลวดและสายเคเบิล เสื้อผ้าสำเร็จรูป เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ