กลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์-ภาคเหนือ จัดรณรงค์ 'ปั่นเพื่อเด็กไทย ให้ปลอดภัยจากวัคซีนทดลอง'
(๒๔ มกราคม ๒๕๖๕) กลุ่ม 'คนไทยพิทักษ์สิทธิ์' สาขาภาคเหนือ ได้จัดให้มีกิจกรรม 'ปั่นเพื่อเด็กไทย ให้ปลอดภัยจากวัคซีนทดลอง' ซึ่งจะเริ่มปั่นจักรยานจากบริเวณ อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ เวลา ๙:๐๐ น. โดยมีปลายทางที่กระทรวงศึกษาธิการ กรุงเทพมหานคร เพื่อไปยื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ ให้ทบทวนมาตรการการฉีดวัคซีนในเด็กนักเรียนอายุ ๕-๑๑ ปี
ทางกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์นำโดย ดร.ณฐพบธรรม พบธรรมเจริญใจ เลขากลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์
สาขา ภาคเหนือ ร่วมกับชมรมจักรยานต่างๆ ได้จัดการรณรงค์ 'ปั่นเพื่อเด็กไทย ให้ปลอดภัยจากวัคซีนทดลอง'
เป็นการปั่นจักรยานระยะทางประมาณ ๙๐๐ กิโลเมตร โดยเริ่มจากจังหวัดเชียงใหม่ ผ่านลำพูน ลำปาง ตาก สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงหฺ์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และไปสิ้นสุดที่กระทรวงศึกษาธิการ กรุงเทพมหานคร เพื่อยื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการให้ทบทวนมาตรการการฉีดวัคซีนในเด็กนักเรียนอายุ ๕-๑๑ ปี
โดยวัตถุประสงค์ของการทำกิจกรรมครั้งนี้ เพื่อเป็นการณรงค์ให้หน่วยงานต่างๆ ได้ชะลอนโยบายฉีด
วัคซีนในเด็ก ๕-๑๑ ปี รวมถึงการยกเลิกมาตรการต่างๆ ที่จะออกมาในลักษณะกีดกันหรือละเมิดสิทธิ์ของเด็ก ดังที่เห็นจากมาตรการการฉีดวัคซีนของรัฐบาลในกลุ่มเยาวชน ๑๒ - ๑๘ ปี ที่แม้ว่าจะเป็นการฉีดโดยความสมัครใจของผู้ปกครอง
แต่ก็พบว่าสถานศึกษาจำนวนมากกลับมีมาตรการ เช่น ไม่ให้คนฉีด วัคซีนเรียน onsite, การไม่ได้เข้าเรียนรด. หรือคนที่ไม่ฉีดวัคซีนต้องตรวจ Atk โดยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง ซึ่งมาตราการ เหล่านี้เป็นการบังคับทางอ้อมให้เด็กต้องเลือกฉีดวัคซีน
ปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เป็นการแบ่งแยกเด็ก ส่งผลกระทบทางจิตใจของเด็ก เป็นการละเมิดสิทธิเด็ก ทั้งๆ ที่เด็กนั้นเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโควิด ๑๙ ต่ำ และหากป่วยก็จะไม่มีอาการหนักมาก
อีกทั้งเด็กที่ไม่ฉีดวัคซีนยังถูกใช้ความรุนแรงจากผู้ใหญ่และเพื่อนด้วยกัน เช่น ถูกเรียกว่า โควิด ๑ โควิด ๒ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับกลุ่มเยาวชน ๑๒-๑๘ ปี ซึ่งแม้ว่าทางรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขได้สื่อสารไปยังหน่วยงานต่างๆ ว่า “ไม่สามารถนำเงื่อนไขการรับ หรือไม่รับวัคซีนมาเป็นข้อจำกัดในการเข้าเรียน”
หากแต่ความจริงที่พบคือ หน่วยงานในระดับปฏิบัติ ตั้งแต่ศึกษาธิการจังหวัด โรงเรียนในหน่วยงานราชการและเอกชน กลับมีคำสั่งในทิศทางตรงข้าม คือ มีการจำกัด และลิดรอนสิทธิของนักเรียนที่ไม่พร้อม รับวัคซีน โดยไม่อนุญาตให้นักเรียนที่ไม่รับวัคซีนเข้าเรียนในสถานศึกษา แต่กลับต้องเรียน online หรือรูปแบบอื่นๆ
ซึ่งมาตรการดังกล่าว เป็นการสื่อสารให้สังคมมีความเข้าใจที่ผิดต่อกลุ่มของเด็ก หรือนักเรียนที่ไม่รับวัคซีนว่าเป็นกลุ่มอันตราย หรือแพร่โรค (ทั้งที่ในความเป็นจริงผู้ที่รับวัคซีน มาแล้วก็สามารถติด และแพร่โรคได้เช่นกัน)
รวมถึงแนวทางของสถานศึกษาต่างๆ ที่รับนโยบายฉีดวัคซีนในเด็ก แล้วนำมาออกมาตรการ ในลักษณะจำกัดสิทธิ์ของเด็กที่ไม่รับวัคซีนให้ต้องเรียน online ไม่สามารถเข้าเรียนในสถานศึกษาได้
มาตราการดังกล่าวส่งผลให้เด็กขาดโอกาสในการส่งเสริมทักษะทางสังคม ไม่ได้รับการเรียนรู้ หรือฝึกฝนทักษะอื่น ๆ ตามวัย ซึ่งเป็นความเสียหายที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตเด็กในระยะยาว ยิ่งกว่า ความเสี่ยงในการติดโควิด
ทั้งนี้ทางกลุ่มมีเป้าหมายร่วมกันกับทางภาครัฐและภาคประชาสังคมอื่นๆ ที่ต้องการแก้ไขปัญหาการแพร่ ระบาดของโรคโควิด-๑๙ หากแต่มาตรการในการแก้ไขปัญหานั้นต้องยืนอยู่บนหลักฐาน ข้อมูลเชิง ประจักษ์ และเคารพสิทธิเสรีภาพของบุคคล
โดยทางกลุ่มขอให้รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณา แนวทาง การป้องกันการระบาดที่ทำได้หลายทาง นอกเหนือจากการใช้วัคซีนในเด็ก ดังที่มีข้อเท็จจริงที่สนับสนุนดังนี้
๑. มนุษย์มีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติชนิดที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดที่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ ดังจะเห็นได้ว่าผู้ที่สัมผัสผู้ติดเชื้อมิได้ติดเชื้อทุกราย ภูมิคุ้มกันทางธรรมชาตินี้สามารถสร้างเสริม ให้แข็งแข็งแรงขึ้นได้โดยมิจำเป็นต้องใช้วัคซีน
๒. ภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นภายหลังจากการติดเชื้อเป็นภูมิคุ้มกันที่มีประสิทธิภาพสูงสามารถป้องกันการติดเชื้อข้ามสายพันธุ์ได้ สามารถทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ช่วยในการยุติการระบาดของโรคได้ดังที่เกิดขึ้น มากมายในหลายประเทศ ในหลายชุมชนทั่วโลก
๓. ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจากวัคซีนไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อ ไม่สามารถป้องกันการแพร่เชื้อ ไม่สามารถ สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ การฉีดวัคซีนจึงเป็นแค่การป้องกันผู้ที่ฉีดเท่านั้น มิได้เป็นการป้องกันสังคมแต่อย่างใด
๔. มีการรักษาอื่นๆ อีกมากมายที่สามารถใช้เพื่อป้องกันการป่วยหนัก ป้องกันการเสียชีวิตได้ โดยมิจำเป็นต้องพึ่งวัคซีน
๕. มีข้อมูลเชิงประจักษ์มากมายที่ยืนยันผลข้างเคียงในระยะสั้นของวัคซีนที่ใช้ในปัจจุบัน ข้อมูลดังกล่าว มีทั้งจากใน และต่างประเทศ รวมถึงข้อมูลจากฐานข้อมูลของ สปสช นอกจากนี้เป็นที่ยอมรับกันว่าปัจจุบัน ยังไม่มีรายงานที่ยืนยันความปลอดภัยของวัคซีนที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว เนื่องจากยังไม่มีการศึกษา ติดตามดูผลเสียในระยะที่ยาวนานพอ
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ประกอบกับวัคซีนชนิดที่ใช้ฉีดให้กับเด็กนั้นเป็นวัคซีนที่ยังอยู่ในขั้นทดลอง และมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็กในอนาคต ทางกลุ่ม 'คนไทยพิทักษ์สิทธิ์' สาขาภาคเหนือ จึงขอเชิญชวนให้ทุกภาคส่วนของสังคม รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมกันปกป้องสิทธิของเด็ก ด้วยการ
๑. ให้ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้อง เกี่ยวกับการเสริมภูมิคุ้มกันทางธรรมชาติ ที่ไม่ได้มีแต่เฉพาะการใช้วัคซีน
๒. เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผลข้างเคียงทั้งในระยะสั้นและระยะยาวของวัคซีน เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถเลือกได้ว่าควรที่จะฉีดวัคซีนให้บุตรหลานของตนหรือไม่
๓. ยกเลิกระเบียบหรือมาตรการในโรงเรียน ที่มีลักษณะของการแบ่งแยกเด็กที่ได้รับวัคซีนและไม่ได้รับวัคซีน แต่ควรให้เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงการเรียนการสอนที่ส่งเสริมพัฒนาการ และทักษะที่รอบด้าน
๔. ตักเตือน ลงโทษ ผู้ที่กระทำผิดตามข้อ ๓ ที่ยังมีการบังคับใช้กฎระเบียบ ข้อบังคับที่ละเมิดสิทธิ์เหล่านั้นอยู่
ด้วยข้อเสนอดังกล่าว ทางกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ เชื่อมั่นว่า การให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อโรค การรักษาโรค และข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนที่รอบด้าน จะเป็นการส่งเสริมสุขภาพ ความปลอดภัย แก่เด็ก และเยาวชนของไทย อย่างไม่ลิดรอนโอกาสทางการศึกษาของเด็กไทยทุกคน
ดาวน์โหลดไฟล์ที่นี่