ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศพบรัฐมนตรีพาณิชย์
ย้ำส่งเสริมความร่วมมือรัฐ – เอกชน สนับสนุนการพัฒนาทางเศรษฐกิจของไทย
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงผลการหารือกับนายสแตนลีย์ กัง (Mr. Stanley Kang) ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย (Joint Foreign Chambers of Commerce in Thailand: JFCCT) และคณะ เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2561 ณ กระทรวงพาณิชย์
ว่าได้มีการหารือเกี่ยวกับนโยบายของไทยและกระทรวงพาณิชย์ ที่จะส่งเสริมการค้าการลงทุนและความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนต่างประเทศ โดยได้ย้ำความมั่นใจด้านโยบายของรัฐบาล ซึ่งให้ความสำคัญกับการค้าการลงทุนของต่างชาติ
โดยเฉพาะนโยบายส่งเสริมการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกและดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ตลอดจนการส่งเสริมธุรกิจภาคบริการ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ โลจิสติกส์ ท่องเที่ยว และการพัฒนาด้านข้อมูลขนาดใหญ่ (big data) ที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ
อีกทั้งกระทรวงพาณิชย์มีแผนที่จะส่งผู้แทนระดับสูงเดินทางเยือนอังกฤษและฝรั่งเศส เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกัน และการฟื้นความสัมพันธ์กับสหภาพยุโรป
นอกจากนี้ JFCCT ได้ชื่นชมที่กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการคืบหน้าด้านกฎระเบียบและระบบบริหารจัดการเพื่อดูแลการค้าสินค้าที่ใช้ได้สองทาง (dual use items)
นายสนธิรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า JFCCT แสดงความสนใจติดตามนโยบายการค้าระหว่างประเทศของไทยอย่างใกล้ชิด ซึ่งได้แจ้งความคืบหน้าของการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมในภูมิภาค (RCEP) ซึ่งไทยจะพยายามผลักดันให้สรุปผลได้โดยเร็ว
ส่วนความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ไทยได้แสดงความสนใจที่จะเข้าร่วม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียด รวมทั้งมีแผนที่จะหารือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับสมาชิก CPTPP ด้วย
ส่วนเรื่องการจัดทำข้อผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ 10 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน (AFAS) สมาชิกคาดว่าจะลงนามเปิดตลาดดังกล่าวในช่วงการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนในเดือนสิงหาคม 2561 ต่อไป
นอกจากนี้ JFCCT ขอให้ไทยช่วยผลักดันให้เวียดนามพิจารณาทบทวนมาตรการนำเข้ารถยนต์ของเวียดนามที่กำหนดให้มีการทดสอบรถยนต์นำเข้าทุกรอบ จนอาจทำให้เกิดภาระและความล่าช้าแก่ผู้ประกอบการนำเข้ารถยนต์ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะติดตามและผลักดันให้เวียดนามอำนวยความสะดวกให้แก่การส่งออกของไทยอย่างต่อเนื่องต่อไป
อีกทั้ง JFCCT ยังหยิบยกประเด็นเกี่ยวกับพิธีการศุลกากรสำหรับสินค้าผ่านแดนที่กำหนดให้สินค้าผ่านแดนที่นำเข้ามาไทยแล้วต้องนำออกไปภายใน 30 วัน จากเดิม 90 วัน และการขอคืนภาษี VAT เพื่อความรวดเร็วในการส่งออก ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะแจ้งให้ทางกระทรวงการคลังทราบต่อไป
นายสนธิรัตน์ กล่าวเสริมว่า กระทรวงพาณิชย์ยินดีที่จะรับฟังความเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ ของ JFCCT ซึ่งการหารือครั้งนี้ทำให้ได้รับทราบข้อกังวล
ประเด็นที่เป็นอุปสรรคต่อผู้ประกอบการต่างชาติในประเทศไทย และประเด็นที่ผู้ประกอบการต่างชาติให้ความสำคัญและสนใจที่จะร่วมมือกับภาครัฐ ในการพัฒนาด้านนโยบายเศรษฐกิจเพื่อให้เป็นประโยชน์ร่วมกัน และสร้างความร่วมมือที่ดีในการสร้างความเจริญเติบโตให้กับเศรษฐกิจของไทยอย่างยั่งยืนต่อไป