Philips Future Health Index 2024
ฟิลิปส์เผยผลสำรวจด้านเฮลท์แคร์ประจำปี
ชี้เทรนด์เทคโนโลยี AI และ DATA มาแรง
ในกลุ่มผู้นำด้านเฮลท์แคร์ในเอเชียแปซิฟิก
หวังยกระดับการดูแลรักษาผู้ป่วย
กรุงเทพฯ - รอยัล ฟิลิปส์ (NYSE: PHG, AEX: PHIA) ผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อการดูแลสุขภาพระดับโลก ได้เผยผลสำรวจด้านเฮลท์แคร์ระดับโลกที่ใหญ่ที่สุดเป็นปีที่ 9 ติดต่อกันกับรายงาน Philips Future Health Index (FHI) 2024 ในหัวข้อ “Better care for more people” โดยได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้นำในวงการเฮลท์แคร์กว่า 3,000 คน จาก 14 ประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย เนเธอแลนด์ อิตาลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เป็นต้น
• 71% ของผู้นำในวงการเฮลท์แคร์ในเอเชียแปซิฟิกชี้ว่าความล่าช้าในการดูแลรักษาผู้ป่วยมาจากปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์
• 93% บอกว่าพบอุปสรรคอย่างน้อย 1 อย่างในการเชื่อมต่อข้อมูลจากหลายแหล่งมารวมกัน
แต่พวกเขายังคงเห็นความสำคัญของการเชื่อมต่อข้อมูลว่ามีประโยชน์ต่อการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วย
• เทคโนโลยี AI ถูกนำมาใช้ในการสนับสนุนการตัดสินใจทางคลีนิกมากขึ้น โดย 62% มีแผนที่จะลงทุนเพิ่มด้าน AI ภายใน 3 ปีข้างหน้า
โดยพบว่าผู้นำในวงการเฮลท์แคร์มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานผ่านการจัดลำดับความสำคัญของกระบวนการทำงาน การเชื่อมต่อข้อมูล (Data) และการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อช่วยยกระดับการดูแลรักษาผู้ป่วย รับมือกับปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ ความท้าทายด้านการเงิน และความต้องการรับบริการด้านสาธารณสุขที่เพิ่มขึ้น
ดร. มาร์ค เบอร์บี รองประธานกลุ่มธุรกิจ Health Systems ฟิลิปส์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า
“ปัญหาผู้ป่วยต้องรอนานเพื่อเข้ารับบริการด้านสาธารณสุขและปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ ทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการดูแลรักษาได้อย่างทันท่วงทีและเข้าถึงระบบสาธารณสุขได้ยาก ดังนั้นเราจึงเห็นผู้นำในวงการเฮลท์แคร์พยายามที่จะพัฒนาและเปลี่ยนแปลง เพื่อส่งมอบบริการและการดูแลรักษาที่ดีขึ้นให้กับผู้คนได้มากขึ้น
โดยเฉพาะความพยายามที่จะเอาชนะอุปสรรคในการเชื่อมต่อข้อมูล และก้าวไปสู่อีกขั้นในการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์และการเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วยให้ดียิ่งขึ้น”
การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์และความท้าทายด้านการเงิน
เป็นปัญหาเร่งด่วนต่อการให้บริการผู้ป่วยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
71% ของผู้นำในวงการเฮลท์แคร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกังวลเกี่ยวกับปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ที่ส่งผลต่อการดูแลรักษาผู้ป่วยที่ล่าช้า
นอกจากนี้ 92% ของผู้นำในวงการเฮลท์แคร์ยังชี้ให้เห็นว่าความท้าทายด้านการเงินส่งผลกระทบต่อความสามารถขององค์กรในการดูแลผู้ป่วยทั้งในด้านเวลาและคุณภาพ
และ 59% บอกว่าพวกเขากำลังปรับปรุงประสิทธิภาพ การดำเนินงานขององค์กร โดยคำนึงถึงกลยุทธ์ทางด้านการเงินควบคู่กัน
การบริหารจัดการผู้ป่วยจำนวนมากโดยไม่ลดทอนคุณภาพการบริการ จำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญของในกระบวนการทำงาน ซึ่งการนำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้จะเป็นตัวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดผลกระทบจากการขาดแคลนบุคลากรได้
จากการสำรวจพบว่าเกือบครึ่งหนึ่ง (45%) ของผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในกระบวนการทำงานแล้ว
ศักยภาพของการเชื่อมต่อข้อมูล
ต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วย
ผู้นำในวงการเฮลท์แคร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเล็งเห็นถึงโอกาสในการยกระดับการดูแลรักษาผู้ป่วย ด้วยศักยภาพของการเชื่อมต่อข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อช่วยจัดเก็บข้อมูลผู้ป่วยไว้ในที่เดียว
- โดยพวกเขาเชื่อว่า การนำข้อมูลเชิงลึกมาจัดเก็บและประมวลผลจะช่วยในการวางแผนหรือหาแนวทางการดูแลที่เหมาะสมได้ (36%),
- สามารถระบุแนวทางการรักษาที่มีประสิทธิผลได้ (36%),
- สามารถประเมินและบริหารจัดการความต้องการของผู้ป่วยได้ (36%),
- สามารถพยากรณ์และลดความเสี่ยงของอาการที่แย่ลงในผู้ป่วยได้ (33%),
- และสามารถลดเวลารอคอยในการตรวจวินิจฉัยและกระบวนการดูแลได้อย่างเหมาะสม (31%)
อย่างไรก็ตาม 93% ของผู้นำในวงการเฮลท์แคร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกบอกว่าพวกเขาพบอุปสรรคในการเชื่อมต่อข้อมูลอย่างน้อย 1 อย่าง เมื่อนำมาประยุกต์ใช้จริง ซึ่งส่งผลต่อการดูแลรักษาผู้ป่วย ทั้งด้านเวลาและคุณภาพ ได้แก่
- เพิ่มความเสี่ยงของการดูแลรักษาที่ผิดพลาด ความปลอดภัย หรือคุณภาพของการดูแลผู้ป่วยที่ลดลง (36%)
- มีข้อจำกัดในการประสานงานระหว่างผู้ให้บริการ หรือภายในแผนกต่างๆ (33%)
- ต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการขาดประสิทธิภาพ (32%)
- ต้องใช้เวลาในการเข้าถึงข้อมูล ทำให้ใช้เวลาน้อยลงในการดูแลผู้ป่วย (31%)
- ขาดโอกาสในการดูแลเชิงป้องกันหรือการรับการรักษาที่รวดเร็ว (31%)
แต่ผู้นำในวงการเฮลท์แคร์ในเอเชียแปซิฟิกยังเห็นว่า หากสามารถเชื่อมต่อข้อมูลได้สำเร็จ จะมีศักยภาพและประโยชน์ต่อการดูแลรักษาผู้ป่วยมากที่สุด
- โดย 67% เห็นว่าคุณภาพของข้อมูลมีความสำคัญที่สุด
- พวกเขาระบุว่าความแม่นยำของข้อมูล (36%),
- การปรับปรุงด้านความปลอดภัย/ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (34%),
- การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของตัวผู้ป่วยเอง (34%)
- และการทำงานร่วมกันระหว่างแพลตฟอร์ม/สถานบริการสาธารณสุข (31%)
เป็นส่วนที่ควรได้รับการพัฒนาเมื่อมีการจัดการด้านข้อมูล
การนำ AI มาใช้เพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจทางคลินิก
และความสนใจด้าน Generative AI ที่มากขึ้น
ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ผู้นำในวงการเฮลท์แคร์ต่างเห็นว่าการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ในภูมิภาคประสบความสำเร็จ จากการนำเทคโนโลยี AI มาใช้เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจทางคลินิกเพิ่มมากขึ้น
จากผลสำรวจพบว่ามีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้สนับสนุนทางคลินิกและวางแผนที่จะนำไปใช้ในหลายๆ ด้านภายใน 3 ปีข้างหน้า ได้แก่
- ด้านการดูแลเชิงป้องกัน (91%),
- ด้านการบริหารจัดการยา (90%),
- ด้านระบบติดตามผู้ป่วยในโรงพยาบาล (89%),
- ด้านการวางแผนการรักษา (89%),
- ด้านระบบติดตามผู้ป่วยระยะไกลหรือแบบรีโมท (87%),
- ด้านระบบในศูนย์สั่งการทางคลินิก (83%), ฃ
- ด้านรังสีวิทยา (79%)
- และด้านพยาธิวิทยา (79%)
ขั้นต่อไปของเทคโนโลยี คือ การนำ Generative AI มาใช้ โดยผู้นำในวงการเฮลท์แคร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเล็งเห็นถึงประโยชน์ของอัลกอริทึม AI ที่สามารถใช้ในการทำคอนเทนท์ต่างๆ ตามคำสั่งที่ป้อนเข้าไป อาทิ ข้อความ รูปภาพ หรือข้อมูล ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดูแลรักษาผู้ป่วย เพื่อแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพและข้อมูลเชิงลึกใหม่ๆ
- จากข้อมูลของผู้ป่วย โดย 36% ของผู้นำในวงการเฮลท์แคร์ในเอเชียแปซิฟิก ลงทุนในเทคโนโลยี Generative AI และ 62% มีแผนที่จะลงทุนในเทคโนโลยีนี้ภายใน 3 ปีข้างหน้า
- ซึ่งความสนใจด้าน Generative AI ของผู้นำด้านเฮลท์แคร์ในเอเชียแปซิฟิก มากกว่าผู้นำด้านเฮลท์แคร์ทั่วโลก ที่ปัจจุบันลงทุนอยู่ 29% และมีแผนที่จะลงทุนภายใน 3 ปีข้างหน้าอยู่ที่ 56%
ถึงแม้ว่าจะมีความตื่นตัวด้านเทคโนโลยี AI เป็นวงกว้าง แต่ 95% ของผู้นำในวงการเฮลท์แคร์ในเอเชียแปซิฟิกยังมีความกังวลเกี่ยวกับความแม่นยำของข้อมูลในแอปพลิเคชันที่ใช้ AI เนื่องจากอาจส่งผลต่อผลลัพธ์ทางสุขภาพ
ดังนั้น พวกเขาจึงระบุว่าเทคโนโลยี AI ต้องถูกนำไปใช้อย่างมีความรับผิดชอบเพื่อป้องกันความผิดพลาด โดยกลยุทธ์ในการลดความเสี่ยงของความผิดพลาดทางข้อมูล คือ
- ความโปร่งใสและความเข้าใจด้าน AI สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ (45%),
- การทำให้บุคลากรมีความมั่นใจในข้อมูลและเทคโนโลยี AI (43%),
- มีการฝึกอบรมและให้ความรู้อย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับ AI (40%)
- และมีการกำหนดนโยบายสำหรับการใช้ข้อมูลและ AI อย่างมีจริยธรรม (39%)
ซึ่งกลยุทธ์เหล่านี้จะสามารถทำได้ผ่านการทำงานร่วมกันในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
"อนาคตของการดูแลรักษาผู้ป่วยที่ดีขึ้นสำหรับผู้คนที่มากขึ้น จะสำเร็จได้ผ่านเทคโนโลยีการเชื่อมต่อของข้อมูลและการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อสนับสนุนการทำงานทางคลินิก ปรับปรุงกระบวนการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับผู้ให้บริการสาธารณสุข เราได้นำประโยชน์ของเทคโนโลยี AI และเทคโนโลยีข้อมูลสารสนเทศ ผสานกับการทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อสร้างนวัตกรรม ทั้งในกลุ่ม Imaging, Interventional และ Monitoring ให้ล้ำหน้าเหนือความต้องการเหล่านี้" ดร.เบอร์บี กล่าวเสริม
นอกจากนี้ฟิลิปส์ยังได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรในเอเชียแปซิฟิก ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้บริการสาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์ คู่ค้า ตัวแทนจำหน่าย เพื่อสร้างความร่วมมือในระยะยาวและแนวทางดำเนินธุรกิจและบริการใหม่ๆ ส่งเสริมความสำคัญของบริการหลังการขายและการอัพเกรด เพื่อสร้างนวัตกรรมและแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน รวมถึงส่งเสริมการฝึกอบรมและการให้ความรู้ ซึ่งจะเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จทางดิจิทัลในระยะยาว
มากไปกว่านั้น ฟิลิปส์ยังได้นำเสนอโซลูชั่นส์ทั้งด้านระบบ, ซอฟต์แวร์, เครื่องมือแพทย์, และบริการที่ครบวงจร เพื่อตอบโจทย์และรับมือกับความท้าทายที่ผู้ให้บริการสาธารณสุขต้องเผชิญ และช่วยปลดล็อกศักยภาพในการนำเทคโนโลยีทางดิจิทัลมาใช้ได้อย่างเต็มที่