จุรินทร์ "นำร่องขยายโอกาสประเทศไทย" ใช้เวที APEC เจรจาเน้นทำ FTAAP
สำเร็จตามเป้าปี 2040 เพิ่มมูลค่าการค้า 200-400%
19 พฤษภาคม 2565, กรุงเทพฯ :นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดการสัมมนาการขับเคลื่อนการจัดทำเขตการค้าเสรีเอเชีย- แปซิฟิก(FTAAP)ในช่วงโควิด-19 และอนาคต (Symposium on FTAAP in the post-COVID-19) พร้อมด้วยนายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ที่ห้อง World Ballroom ชั้น 23 โรงแรม เซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์
นายจุรินทร์ กล่าวว่า หัวข้อการเสวนาวันนี้คือการขับเคลื่อนการจัดทำเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก (FTAAP) เป็น FTA ของกลุ่มความร่วมมือกลุ่มเศรษฐกิจการค้าเอเปค เป้าหมายสำคัญเพื่อให้ทุกภาคส่วน ภาครัฐ เอกชน ภาควิชาการหรือนักธุรกิจ ประชาชนทั่วไป เกิดความเข้าใจและรวมพลังขับเคลื่อนจากความร่วมมือทางเศรษฐกิจของกลุ่มเขตเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก 21 เขตเศรษฐกิจ ไปเป็น FTAAP ในอนาคต ซึ่งตั้งเป้าหมายไว้ในปี 2040 หากสำเร็จจะกลายเป็น FTA ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เพราะมีประชากรรวมกันถึง 2,900 ล้านคน คิดเป็น 38% ของประชากรโลกและจะมี GDP คิดเป็นร้อยละ 62 ของ GDP โลกมีมูลค่าประมาณ 52 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1,768 ล้านล้านบาท
มูลค่าการค้าจาก 21 เขตเศรษฐกิจ มีมูลค่า 608 ล้านล้านบาท หรือ 18 ล้านล้านหรียญสหรัฐ ซึ่งเขตเศรษฐกิจทั้ง 21 เขตนี้ จะได้รับประโยชน์โดยตรงอย่างน้อยภาษีจะเป็นศูนย์ระหว่างกัน
เมื่อเป็น FTA กฎระเบียบการค้าจะเป็นกฎระเบียบเดียวกัน และจะมีการเปิดตลาดระหว่างกันทั้งในส่วนของสินค้าและบริการ รวมทั้งการส่งเสริมการลงทุนระหว่างกัน
หากเป็น FTAAP ในปี 2040 จริง คาดการณ์ว่ามูลค่าการค้าในกลุ่ม 21 เขตเศรษฐกิจ จะเพิ่มขึ้นประมาณ 200-400% สำหรับประเทศไทยปัจจุบันเรามีมูลค่าการค้ากับ 21 เขตเศรษฐกิจ 12.2 ล้านล้านบาทหรือคิดเป็น 385,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ถ้าเป็น FTAAP ในปี 2040 จริง จะขยายตัว 200-400% เช่นเดียวกัน
ต้องยอมรับความจริงว่า 20 ปีที่ผ่านมา FTAAP ยังขับเคลื่อนไปได้ไม่เร็วนักยังมีความล่าช้าอยู่ แม้ในปี 2020 ตอนที่มาเลเซียเป็นเจ้าภาพจะมีการบรรจุเป้าหมาย FTAAP ไว้ในวิสัยทัศน์ปุตราจายา ของเอเปคว่าจะทำให้สำเร็จในปี 2040 ก็ตาม ปีนี้ 2022 ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพต่อจากนิวซีแลนด์ ได้กำหนดธีมสำคัญในการประชุมเอเปคครั้งนี้ ซึ่งจะเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ 19-22 พฤษภาคม และต่อด้วยการประชุมสุดยอดผู้นำในช่วงเดือนพฤศจิกายนปลายปีนี้โดยประมาณ ประเทศไทยได้กำหนดธีมสำคัญของการประชุมไว้ 3 เป้าหมาย ประกอบด้วย “Open. Connect. Balance.” คือการที่เราจะเปิดกว้างให้มีการเคลื่อนไหวทางการค้าการลงทุนระหว่างกันของกลุ่มเศรษฐกิจเอเปค การเชื่อมโยงทางการค้าการลงทุนทั้งภาคการผลิต ห่วงโซ่การผลิต การตลาดร่วมกันในกลุ่มเขตเศรษฐกิจเอเปค และสร้างสมดุลทั้งในสิ่งแวดล้อมและการค้าการลงทุนให้ทั้ง 21 เขตเศรษฐกิจได้ประโยชน์ร่วมกัน
นอกจากนั้นในนโยบายประเทศไทยมีนโยบายที่จะผลักดัน FTA ให้เกิดขึ้นอย่างเต็มกำลังความสามารถ คือเป้าหมายนอกจากเป็นทิศทางของเอเปคแล้วประเทศไทยประกาศให้ความสำคัญและประสงค์จะร่วมขับเคลื่อนกับกลุ่มเศรษฐกิจที่เหลืออย่างเต็มที่ ให้เกิด FTA ให้ได้ในอนาคตอันรวดเร็วตามเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างน้อยปี 2040 ปัจจุบันประเทศไทยมี FTA กับประเทศต่างๆ 18 ประเทศรวม 14 ฉบับ FTA ที่ใหญ่ที่สุดที่เพิ่งทำสำเร็จคือ RCEP หรือความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership) ซึ่งเราเป็นเจ้าภาพการประชุมเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ตนเป็นประธานที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจการค้า RCEP จนประสบความสำเร็จ และออกแถลงการณ์ร่วมกันว่าจะจัดตั้ง บัดนี้ RCEP เกิดขึ้นแล้วคือ FTA ที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน แต่ถ้ามี FTAAP เมื่อไหร่จะใหญ่กว่า RCEP ทุกเขตเศรษฐกิจจะได้ประโยชน์มากขึ้นเป็นเงาตามตัว
ประเทศไทยมีเป้าหมายทำ FTA เพิ่มเติมนอกจากกับ 18 ประเทศ 14 ฉบับที่มีอยู่แล้วเช่น FTA กับกลุ่มสหภาพยุโรปหรือ EU ไทยกับสหราชอาณาจักร ซึ่งตนจะเดินทางไปประชุม JTC (การประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า หรือ Joint Trade Committee) กับประเทศอังกฤษในช่วงประมาณกลางเดือนมิถุนายนนี้ และมีเป้าหมายที่จะทำ FTA กับกลุ่มประเทศเอฟตา(สมาคมการค้าเสรียุโรป) ประกอบด้วยไอซ์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ นอร์เวย์ และสวิตเซอร์แลนด์ ตนจะนำคณะเดินทางไปที่ไอซ์แลนด์ประมาณช่วงวันที่ 20 มิ.ย. 65 เพื่อพบกับรัฐมนตรีจาก 4 ประเทศ ประกาศนับหนึ่งในการเริ่มเจรจา FTA ระหว่างกัน และเรามีเป้าหมายทำ FTA กับอีกหลายประเทศรวมทั้ง FTAAP
การเสวนาวันนี้จะเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นสร้างความรู้ความเข้าใจระหว่างคนไทยและสมาชิกประชากรของกลุ่มเขตเศรษฐกิจเอเปคให้เกิดขึ้น ซึ่งจะมีการคุยกันหลายประเด็น เช่น การกำหนดสาระสำคัญที่ควรบรรจุไว้ใน FTAAP อีคอมเมิร์ซ การแข่งขันทางการค้า สิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชนเป็นต้น แต่สิ่งเหล่านี้ควรมีขอบเขตแค่ไหนอย่างไรที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันกับทุกฝ่ายทั้ง 21 เขตเศรษฐกิจสมาชิก